ช่วงนี้เทรนด์การออกกำลังกายเพื่อลดหุ่นกำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายแบบไหนที่เข้ามาใหม่ๆ สาวๆ มักจะอินเทรนด์ตามกระแสอยู่เสมอ แต่สิ่งที่หลายคนมักจะนิยมทำอย่างต่อเนื่องแม้ไม่ใช่กระแสก็ตาม นั่นก็คือการวิ่งเพื่อลดหุ่นส่วนใหญ่ที่เลือกวิ่งก็เพราะว่าเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดและไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ไม่ต้องเสียสตางค์แพงๆ ก็สามารถวิ่งได้ทุกที่ ทุกเวลา อยากหุ่นดี และอยากลดน้ำหนัก แต่สาวๆ หลายคนที่วิ่งจนขาแทบโป่งกลับสงสัยว่าทำไมวิ่งทุกวันแต่น้ำหนักไม่ลดหุ่นก็ไม่ยอมผอมซักที มาดู 5 พฤติกรรมการวิ่งแบบผิด ๆ ที่ทำให้ไม่เห็นผลของการลดน้ำหนักดีกว่า
1.นึกจะวิ่งตอนไหนก็วิ่ง
อยากวิ่งให้น้ำหนักลด ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่จะวิ่งเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะก่อนลงมือวิ่ง ควรทำการวอร์มร่างกายเบาๆ อาจจะทำท่ากายบริหารง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการหมุนแขน เดินเบา ๆ หมุนข้อเท้า กางแขนสลับแตะปลายเท้า ฯลฯ ราว 5-10 นาที เพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อและเส้นให้มีความยืดหยุ่น อีกทั้งจะช่วยลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เพราะหากเกิดข้อเท้าพลิกระหว่างวิ่งอาจทำให้เจ็บหนักและหยุดวิ่ง นอกจากจะไม่มีทางผอมแล้ว ยังได้แผลอีกด้วย
2.วิ่งลงส้นเท้า
เวลาวิ่งออกกำลังกาย อย่าคิดว่าวิ่งท่าไหนก็ได้นะ ควรใช้ส้นเท้าลงพื้นก่อนเสมอ แล้วจึงตามด้วยฝ่าเท้า และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้นก็เป็นจังหวะที่ส้นเท้าเปิดขึ้น ส่วนปลายเท้าก็เริ่มเหมือนกับจะตะกุยดินเบาๆ เพื่อถีบตัวให้สปริงตัวก้าวต่อไปข้างน้า แต่คนส่วนใหญ่ชอบเอาปลายเท้าลงก่อน
3.ข้อควรรู้ระหว่างก้าว
เมื่อเท้าเริ่มสัมผัสพื้น ก็ควรจะงอเข่านิดๆ ในขณะที่เท้าหน้าเหยียดไปข้างหน้า ส่วนเท้าหลังก็ควรจะเหวี่ยงไปข้างหลังให้เกิดแรงสมดุล โดยแต่ละก้าววิ่งควรจะพยายามให้เท้าสัมผัสพื้นเบาๆ แต่ไม่ควรกระแทกหนัก เพื่อไม่ให้เท้าเกิดอาการบาดเจ็บ
4.ท่าทางในการวิ่งต้องไม่ดัด
ควรวิ่งในท่าทางที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด อย่าบิด อย่าดัด เกินๆป พยายามให้หลังตรง ไม่โน้มตัวไปข้างหน้า หรือแอ่นหลังขณะวิ่งหน้าตรง ควรให้สายตามองตรงไปข้างหน้า
5.แกว่งแขนขณะวิ่ง
ในการแกว่งแขนหากใช้หัวไหล่จะช่วยทรงตัวขณะวิ่งได้ดี พยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้าแคบกว่า 90 องศา หรือมุมฉาก โดยให้กำนิ้วมือหลวมๆ ไม่ต้องเกร็งแขนหรือนิ้วมือ แล้วจึงงอแขนวิ่งเล็กน้อยสักพัก จากนั้นค่อยสลับปล่อยแขนตรงบ้าง เพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเต็มที่
อยากเห็นผลเร็วและไม่อยากวิ่งผิดวิธีก็ลองทำตามที่เราแนะนำ ควรวิ่งในระยะความเร็วที่ทำให้ร่างกายต้องหายใจแรง แต่อย่าวิ่งจนเหนื่อยเกินไปจนต้องหอบ ควรเป็นความเร็วที่สามารถวิ่งต่อไปได้อีกมากกว่า 10 นาทีขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งด้วยความเร็วระยะเดียวเสมอไป จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยน เป็นวิ่งสลับเดินยาวๆ ให้พอหายเหนื่อยค่อยกลับมาวิ่งอีกครั้ง นับ ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เริ่มวิ่งออกกำลังกายใหม่ๆ
แสดงความคิดเห็น